Lebensmüde [ˈleːbənsmyːdə] เป็นคำนามในภาษาเยอรมันที่เกิดจากคำว่า Leben (ชีวิต) และ müde (เหนื่อยล้า) รวมกัน คำ ๆ นี้จึงหมายถึง ความรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิต  

คำว่า Lebensmüde ส่วนใหญ่มักใช้เพื่อบรรยายถึงคนที่รู้สึกเบื่อหน่ายและหดหู่กับชีวิต นอกจากนี้ยังสามารถใช้บรรยายถึงคนที่ทำบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากนิสัยเดิมของตัวเองเพื่อเปลี่ยนความจำเจในชีวิตประจำวัน เช่น คนที่ใช้ชีวิตซ้ำเดิมทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งก็ตัดสินใจไปกระโดดร่มหรือออกเดินทางไกลเพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ให้ได้เจออะไรใหม่ ๆ

ในยุคปัจจุบันการทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วว่องไวดูจะเป็นเรื่องที่สำคัญ ยิ่งมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้น และอาจเป็นการสร้างความกดดันให้ตัวเองแบบไม่รู้ตัวได้ ในขณะที่ทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา อย่าลืมสังเกตตัวเองอยู่เสมอว่ากำลังรู้สึกอย่างไร

ภาวะซึมเศร้าและภาวะหมดไฟไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในสังคมของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของสังคมที่เร่งรีบจนไม่มีเวลาได้พักหายใจกับสิ่งใดหรือใครเลย เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้า คุณต้องหยุดพักและซื่อสัตย์กับตัวเอง การหยุดพักไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นสิ่งจำเป็น

หลายคนพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำและพูดออกมา บางทีก็อาจเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเข้าใจและถูกตัดสิน แม้ว่าในปัจจุบันสังคมจะก้าวหน้าไปมากเกี่ยวกับการรับมือในเรื่องความผิดปกติทางจิต แต่ในหลายวงการก็ยังไม่ได้เข้าใจจริง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ภายนอกบางคนจะดูสดใสร่าเริงทุกครั้งที่พบเจอ แต่ที่จริงแล้วข้างในใจอาจกำลังรู้สึกเศร้า หรือมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ ในทางกลับกันคนที่ชอบความเงียบและความต้องการที่จะอยู่คนเดียว ในใจของพวกเขากำลังมีความสุขกับการใช้เวลาอยู่คนเดียว

คุณรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิตอยู่หรือเปล่า?

เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างที่เราทำกิจวัตรประจำวัน ทั้งงาน ความรับผิดชอบ และอื่นๆ อีกมากมาย คุณอาจจะหยุดพัก เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภารกิจต่าง ๆ ในวันถัดไป แต่หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง พักเท่าไหร่ก็ไม่พอ นั่นจะกลายเป็นเรื่องที่น่ากังวล

เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้าบ่อย ๆ อาจบ่งบอกถึงปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาสุขภาพจิต หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล อาจส่งผลต่อความคิดและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ คุณอาจสูญเสียแรงจูงใจและความสนใจที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง แม้กระทั่งงานอดิเรกหรือสิ่งที่หลงใหล ยิ่งไปกว่านั้นคุณอาจเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิต ทำให้คุณหมดความสนใจในการตั้งเป้าหมาย เมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักบำบัด เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง แต่ถึงอย่างไรก่อนที่จะไปพบแพทย์ คุณสามารถลองทำบางสิ่งเพื่อช่วยเอาชนะความรู้สึกเหนื่อยล้าได้ เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ดีขึ้น

บรรเทาความรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิต

ถึงเวลาหยุดพักแล้ว การต้องการพักไม่ได้หมายความว่าขี้เกียจหรืออ่อนแอ แต่หมายถึงการยอมรับความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้ากับชีวิตได้คือ การสื่อสารและความเข้าใจ การพูดคุยหรือระบายสิ่งที่คิดออกมาจะทำให้คุณไม่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือนักบำบัด คนที่คอยสนับสนุนคุณ เพื่อที่คุณจะก้าวไปข้างหน้าในแบบของคุณเอง  นอกจากนี้การจดบันทึกก็ช่วยให้คุณรับรู้อารมณ์ของตัวเองได้ ลองหายใจเข้าออกลึก ๆ และมองโลกในแง่ดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณก้าวข้ามผ่านความเหนื่อยล้าทางใจไปได้ 

อย่าลืมว่าสังคมในปัจจุบันเป็นสังคมที่เร่งรีบ ไม่ต้องรู้สึกผิดหากคุณรู้สึกว่าตามคนอื่นไม่ทัน ไม่มีใครตามโลกที่หมุนเร็วได้ทันตลอดเวลา 

และหากคุณกำลังรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิต ลองทำตามคำแนะนำด้านล่างนี้เพิ่มเติม

1.ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จ

คุณอาจยุ่งมากเกินไปในแต่ละวัน และพยายามทำงานหลายอย่างพร้อมกันให้เสร็จ ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าบ่อยขึ้น เนื่องจากสิ่งที่คุณทำได้มีจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองและเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญของงาน เพื่อให้เราสามารถจดจ่อกับสิ่งที่เราทำได้และทำงานทีละอย่างให้เสร็จ พยายามอย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน และเลือกทำสิ่งเล็ก ๆ ให้สำเร็จก่อนค่อยไปทำอย่างอื่น วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้ามากเกินไป และรักษาพลังงานไว้ได้ตลอดทั้งวัน

2.ถอยออกมาสักพัก

หากคุณเริ่มรู้สึกหนักใจและยังหาทางแก้ไขปัญหาไม่ได้ ให้ลองถอยออกมา หยุดพักสักครู่ และทำงานอดิเรกหรือสิ่งที่คุณสนใจเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งที่ทำให้คุณเครียด ช่วงเวลาที่คุณอยู่ห่างจากความเครียดจะช่วยให้จิตใจคุณปลอดโปร่ง เพื่อให้คุณกลับมาจัดการกับความเครียดได้อีกครั้งและพร้อมรับมือกับปัญหาได้มากขึ้น เมื่อคุณอยู่ห่างจากสิ่งที่ทำให้เครียด จะทำให้คุณมีเวลาคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ และอาจหาทางแก้ไขปัญหาของคุณได้

3.พักผ่อนโดยไม่ต้องรู้สึกผิด

การพักผ่อนเพียงครั้งเดียวไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณรู้สึกเครียดและเหนื่อยล้ามาเป็นเวลานาน ควรมีช่วงพักระหว่างงานประจำวันอย่างสม่ำเสมอ การหยุดพักจะช่วยลดความเหนื่อยล้าจากเรื่องงาน และป้องกันไม่ให้อารมณ์และพลังของเราลดลงจากการทำงานหนักเกินไป ดังนั้นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทุกวันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่เราจะไม่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกเหนื่อยล้าและทำลายวันของเรา

4.หลีกเลี่ยงสื่อด้านลบ

สื่อด้านลบสามารถดึงพลังงานลบ ๆ ในตัวคุณออกมาได้ หากเราเปิดรับสิ่งเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา อาจส่งผลต่อความคิดและบิดเบือนมุมมองของเราเกี่ยวกับชีวิตและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เช่น ความคิดเห็นลบ ๆ บนโซเชียลมีเดีย ข่าวสารที่คุณอ่านซึ่งเน้นแต่ข้อมูลเชิงลบล้วนมีอิทธิพลต่อจิตใจและทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้น ดังนั้น หากคุณรู้สึกอยากมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแหล่งพลังงานด้านลบเหล่านี้ และมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกมีความคิดในด้านดีมากขึ้น

วิธีรับมืออาการ “Weltschmerz” เมื่อโลกนี้แสนเจ็บปวด

5.พูดคุยกับคนอื่น หรืออาจขอความช่วยเหลือจากพวกเขา

คุณอาจรู้สึกสิ้นหวังเมื่อพยายามจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การทำงานหนักขึ้นอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่การได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากผู้อื่นอาจช่วยให้คุณผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ เมื่อรู้สึกยากลำบากและความพยายามเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล ถึงเวลาที่คุณควรขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ลองดูว่ามีใครยินดีช่วยเหลือคุณหรือไม่ แม้ว่าคนอื่นอาจไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในทันที แต่หากมีใครสักคนมารับฟังความทุกข์ของเราก็เพียงพอที่จะระบายความกังวลของเราได้  ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนฝูงก็สามารถบรรเทาความกังวลใจและช่วยให้เรามองโลกในแง่ดีมากขึ้น

6.ดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง

สาเหตุหนึ่งที่คุณอาจรู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรังคือ การที่คุณไม่ได้ทำกิจวัตรที่ดีต่อสุขภาพอย่างเพียงพอ เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างรวดเร็วและมีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น

อย่าลืมว่าคุณไม่จำเป็นต้องทนกับความรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้คนเรารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นก่อนที่จะไปสู่จุดที่เหนื่อยล้าเรื้อรัง อย่าลืมหมั่นสำรวจตัวเอง คอยสังเกตตัวเองว่าถึงเวลาที่ควรพักหรือฟื้นฟูจิตใจตัวเองแล้วหรือยัง เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่สูญเสียแรงจูงใจและความสนใจในแต่ละวัน เราสามารถทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ชีวิตมีพลังมากขึ้นได้เสมอ