ข้อปฏิบัติช่วงถือศีลกินเจ + ไขข้อสงสัยทำไมในประเทศจีนไม่มีเทศกาลกินเจ

เข้าสู่ช่วงเทศกาลถือศีลกินเจกันอีกปีแล้ว เคยสงสัยไหมว่าทำไมการกินเจถึงได้รับความนิยมแค่ในประเทศไทย ทำไมคนจีนแผ่นดินใหญ่ ชาวไต้หวัน ฮ่องกง สิงค์โปร์  หรือแม้แต่คนจีนในต่างแดนถึงไม่มีเทศกาลกินเจแบบบ้านเรา การกินเจมีต้นกำเนิดมาจากไหน แล้วทำไมถึงมีข้อห้ามมากมายที่ห้ามทำในเทศกาลกินเจ บทความนี้มีคำตอบ  

การกินเจจะกำหนดวันตามจันทรคติ คือเริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ ตามปฏิทินจีนของทุก ๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน หรืออาจจะปฏิบัติเพียง 3 วัน หรือ 5 วัน ตามความสะดวกของแต่ละคน

เทศกาลกินเจ มีแค่ในไทยจริงหรือ?

พอลองหาข้อมูลก็พบว่าตำนานการกินเจเนี่ยมีหลายตำนานมาก ๆ บางตำนานที่คิดว่าเป็นตำนานเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องราวที่มีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกันเลย เอาเป็นว่าเราจะเล่าแค่บางตำนานก็แล้วกันนะ

1.ตำนานการกินเจเพื่อระลึกถึงฮ่องเต้ 9 พรรษา 

ว่ากันว่าแต่เดิมการกินเจเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวจีนแต้จิ๋วและชาวจีนฮกเกี้ยนที่เกิดขึ้นเพื่อไว้อาลัยให้ฮ่องเต้อายุ 9 พรรษาที่กระโดดน้ำตายเพื่อให้รอดพ้นจากการเป็นเชลยในช่วงปลายราชวงศ์ซ่ง เนื่องจากในขณะนั้นชนเผ่านอกด่านอย่างพวกมองโกลเข้ามารุกรานที่แผ่นดินซ่ง และพื้นแผ่นดินสุดท้ายที่ต้านทานมองโกลก็คือแต้จิ๋วและฮกเกี้ยน

เพราะฉะนั้นการกินเจเดือน 9 จึงเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนอายุของฮ่องเต้น้อย รวมถึงสีเหลืองซึ่งเป็นสีหลักของเทศกาลกินเจก็เป็นสีของฮ่องเต้นั่นเอง ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ได้มีการโยงเข้ากับตำนานของพระโพธิสัตว์ 9 รูป เพื่อหลอกชาวมองโกลว่าการถือศีลกินเจเป็นเพียงความเชื่อที่เกี่ยวกับศาสนาเท่านั้น

ประเพณีถือศีลกินเจนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง ส่วนชาวจีนฮกเกี้ยนโพ้นทะเลในสิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งถูกปกครองโดยอังกฤษมาก่อน ทำให้ประเพณีเก่าแก่เหล่านี้เลือนหายไปตามกาลเวลา

2.ตำนานกินเจเพื่อรำลึกถึงวีรชน

ในตำนานนี้เล่าว่าการกินเจในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 1 ถึงขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 (ตามปฏิทินจันทรคติ) เป็นการกินเจเพื่อรำลึกถึงเหล่าวีรชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชาวแมนจูที่มายึดครองราชวงศ์หมิงและสถาปนาราชวงศ์ชิง (บางตำรายังลงรายละเอียดไปว่ามีจำนวนวีรชนผู้กล้าจำนวน 9 คน เรียกว่า “หงี่หั่วท้วง”)

ซึ่งวีรชนเหล่านี้ (ชาวฮั่นลูกหลานราชวงศ์หมิง) ก็โค่นล้มราชวงศ์ชิง (ชาวแมนจู) และพยายามกอบกู้ราชวงศ์หมิงกลับมาแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้ถูกทางการปราบปรามด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม ชาวฮั่นบางส่วนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของแมนจูจึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงวีรชนที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น เนื่องจากเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจ

3.ตำนานการกินเจที่ภูเก็ต

ประเพณีกินผัก (หรือที่เรียกว่า เจี๊ยะฉ่าย) ในภูเก็ตนั้นได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านไล่ทู (ในทู) หรือหมู่บ้านกะทู้ ตำบลกะทู้ จังหวัดภูเก็ตในปัจจุบัน เริ่มต้นมาจากการที่ชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพเข้ามาในภูเก็ตตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ชาวจีนเหล่านี้ส่วนใหญ่นับถือลัทธิเต๋า เป็นการนับถือบูชาเซียน เทวดา เทพเจ้า วีรบุรุษ ซึ่งในสมัยนั้นชาวจีนที่อพยพเข้ามามีความเชื่อและความศรัทธาในเรื่องของเทพเจ้ามาแต่เดิม

ต่อมาได้มีคณะงิ้ว (เปะหยี่หี่) เดินทางมาจากประเทศจีนมาจัดการแสดงที่บ้านไล่ทูอยู่นานแรมปี แต่อยู่มาวันนึงก็เกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย ชาวบ้านในหมู่บ้านไล่ทูจึงเกิดศรัทธาและปฎิบัติตาม ต่อมาจึงได้แพร่หลายออกไปตามสถานที่ต่าง ๆ

อยู่มาวันหนึ่งมีคนที่เคยอาศัยอยู่ที่มณฑลกังไส (เจียงซี้ของประเทศจีนในปัจจุบัน) ได้เดินทางมาทำงานที่หมู่บ้านไล่ทู แล้วเห็นว่าการประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายที่ทำกันอยู่นั้นไม่ถูกต้องตามแบบฉบับของฉ้ายตึ้ง (ศาลเจ้าในมณฑลกังไส) จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี้ยวโห้ย หรือ เหี้ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต โดยตลอดการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันไม่ให้ธูปดับ ศาลเจ้ากะทู้ที่ภูเก็ตจึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน

หากถามว่าทำไมเทศกาลกินเจในประเทศจีนถึงหายไป ก็คงตอบได้ว่าเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนผ่านการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ รัฐบาลได้มีการทำลายหนังสือเรียน และเกือบทุกอย่างที่เกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา ทำให้พิธีกรรมเหล่านี้ได้เลือนหายไปจากจีนแผ่นดินใหญ่ในที่สุดนั่นเอง

ข้อปฏิบัติของการกินเจ

1.ห้ามรับประทานผักที่มีกลิ่นฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง

งดผักที่มีกลิ่นแรง ซึ่งประกอบไปด้วยพืชผัก 5 ชนิด ได้แก่

  • กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม)
  • หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาว, หอมหัวใหญ่)
  • หลักเกียว (ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่เล็กกว่า)
  • กุยช่าย
  • ใบยาสูบ (บุหรี่, ยาเส้น, ของเสพติดมึนเมา)

เนื่องจากผักเหล่านี้เป็นผักที่มีรสชาติที่หนักและมีกลิ่นแรง อีกทั้งยังมีความเชื่อที่ว่าผักประเภทนี้ยังไปกระตุ้นอารมณ์ให้เร้าร้อน หงุดหงิด และโกรธง่าย จึงมีการงดทานผักประเภทนี้ในช่วงกินเจ

ปล.แต่ต้องบอกก่อนว่าทางการแพทย์อาหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น “กระเทียม” มีสารที่เป็นประโยชน์สามารถละลายไขมันในเส้นเลือดได้จ้า (อันนี้ก็ต้องอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะ)

2.ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์

ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ อาหารที่มีส่วนผสมจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ หรือแม้แต่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่มาจากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นไขมันสัตว์ ไข่ และเลือด

3.ไม่รับประทานอาหารรรสจัด

ไม่ใช่แค่อาหารรสเผ็ดอย่างเดียว แต่รวมไปถึงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจี๊ดด้วย

ปล.สามารถปรุงรสด้วยการใช้เกลือแทนน้ำปลาได้

4.ต้องทานอาหารที่คนกินเจด้วยกันปรุง

ข้อนี้ถ้าทำได้จะถือว่าบริสุทธิ์จริง ๆ แต่ถ้าทำให้เกิดความยากลำบากข้อนี้ก็ไม่จำเป็นนะ

5.ถ้วยชามจะต้องไม่ปนกัน

สำหรับคนที่เคร่งมาก ๆ เขาจะถือว่าถ้วยชามจะใช้ปนกันไม่ได้ แม้ว่าจะล้างจนสะอาด หากนำมาใช้ก็ถือว่าผิด แต่สำหรับคนที่ไม่เคร่งมากการล้างถ้วยชามจนสะอาดแล้วบางทีเขาก็ไม่ถือไม่จำเป็นต้องแยก

ปล.ข้อปฏิบัตินี้เหมือนกับธรรมเนียมของศาสนาอิสลามที่ไม่ยอมใช้ถ้วยชามปนกัน

6.ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต 

ห้ามฆ่าแม้กระทั่งสัตว์เล็ก ๆ อย่างเช่น ยุงหรือมด ไม่เช่นนั้นจะถือว่าปฏิบัติไม่ครบ

7.แต่งกายด้วยชุดขาว 

การใส่ชุดสีขาวจนถึงวันออกเจเชื่อกันว่า นอกจากการงดทานอาหารต่าง ๆ เพื่อให้ภายในร่างกายสะอาดแล้ว ภายนอกของคุณก็ต้องสะอาดด้วย จึงเป็นความเชื่อว่าจะต้องแต่งกายด้วยชุดสีขาว แต่ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน หากอยู่บ้านไม่ได้ไปที่แจตั๊วหรือสถานที่ทำพิธีกินเจก็ไม่ต้องใส่ชุดขาวก็ได้

8.พูดจาไพเราะ 

นอกจากจะรับประทานอาหารที่สะอาดปราศจากเนื้อสัตว์แล้ว คำพูดที่พูดออกมาก็ต้องสะอาดด้วย ดังนั้นให้รักษาอารมณ์ งดการพูดคำที่ไม่ดีทั้งหลาย อย่างเช่น การไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุแหย่ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ

9.งดดื่มสุราและของมึนเมา

รักษาศีล 5 ให้ครบทั้ง 5 ข้อ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจสะอาด

10.ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง

เมื่อไปที่แจตั๊วหรือสถานที่ทำพิธีกินเจเขาจะประดับดอกไม้ตั้งโต๊ะบูชา มีการวางกระถางธูปและตั้งเครื่องเจต่าง ๆ ซึ่งในสถานที่เหล่านี้จะมีการจุดโคม 9 ดวงเอาไว้ตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่ให้ดับเพื่อสมมติเป็นเก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว ซึ่งถ้าโคมไฟดวงใดดวงหนึ่งดับก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคลและไม่ครบถ้วนพิธีการกินเจนั่นเอง

ขอให้ทุกคนอิ่มบุญสุขใจกับเทศกาลกินเจปีนี้กันน้าาาา

 ข้อมูลจาก phuketvegetarian , หนังสือ "สกัดจุดยุทธจักรมังกรหยก", tekkacheemukkhor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *