ทำงานประจำที่บ้าน งานในฝัน..ดีจริงหรอ??

การทำงานเป็นพนักงานประจำ แต่สามารถทำงานที่บ้านได้ (work from home) อาจเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ได้อยู่บ้านแถมยังมีเงินใช้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่ต้องตื่นเช้าไปเผชิญกับรถติด ตื่นมารดน้ำต้นไม้ชิว ๆ เย็นก็ไปวิ่งออกกำลังกาย คุณกำลังคิดแบบนั้นใช่มั้ย?

เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสทำงานเป็นพนักงานประจำ แต่สามารถทำงานที่บ้านได้มานาน 2 ปี (2 ที่ทำงาน หนึ่งในนั้นเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ) จึงกล้าพูดได้ว่าการทำงานประจำที่บ้านก็มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันออกไปเหมือนกับการทำงานประจำในออฟฟิศนั่นแหละ ซึ่งนี่เป็นความคิดของเรา ประสบการณ์จากที่เราเจอมาจริง ๆ อาจจะไม่เหมือนกับที่คนอื่นเจอมาก็ได้

ข้อดี

1.  เวลายืดหยุ่น

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากตอกบัตรเข้างานให้ทันเวลา อยากจะนอนตื่นสายสักหน่อยไม่ต้องไปเผชิญกับรถติดทุก ๆ วัน การหางานประจำทำที่บ้านคือทางเลือกที่ดีมาก แต่อย่าลืมว่าก็ต้องมีความรับผิดชอบนะ ต้องทำงานและติดต่องานกับเพื่อนร่วมงานผ่านอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แนะนำว่าให้กำหนดเวลาให้ตัวเอง อย่างเช่น จะเริ่มทำงานกี่โมงถึงกี่โมง ส่วนใหญ่ก็ 9 โมงเช้า – 6 โมงเย็น หรือ เวลา xxx จะงดตอบเรื่องงาน ไม่ทำงาน เป็นต้น

2. ประหยัดค่าใช้จ่ายบางส่วน

แน่นอนว่าการทำงานที่บ้านช่วยให้เราประหยัดค่ารถ ค่าอาหารกลางวันในเมือง และค่าเข้าสังคมไปได้มากทีเดียว นอกจากนี้ยังมีพวกค่าแต่งตัว ชุดทำงานที่ไม่ต้องลงทุนไปกับมันเยอะ หรือวันไหนมีนัดประชุม ก็สามารถใส่เสื้อยืด รองเท้าแตะ ไปทำงานได้เช่นกัน

3. ทำงานที่ไหนก็ได้

ไหน ๆ ก็ได้ทำงานที่บ้านแล้ว จะนอนทำงานบนเตียงทั้งวัน หรือนั่งทำงานบนโต๊ะกินข้าวก็ได้ และสำหรับคนที่ขี้เบื่อ ก็สามารถออกไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟ หรือเที่ยวไปทำงานไปได้เลย (แต่ก็อาจปวดหัวหน่อย ๆ ตอนที่ต้องคุยงานไปด้วยตลอดเวลา) รวมถึงสามารถออกไปทำธุระอื่นขณะเวลางานได้อีกด้วย

4. อาจมีโอกาสได้เรียนรู้งานที่หลากหลาย (กรณีสตาร์ทอัพ)

จากประสบการณ์ที่เราเจอมา พนักงาน 1 คนอาจต้องทำงานหลายหน้าที่ ดังนั้นข้อดีก็คือ ช่วยให้เราได้เรียนรู้ประเภทของงานหลายหน้าที่ อีกทั้งการทำงานที่บ้านยังช่วยให้เราเรียนรู้การบริหารงานแบบคนยุคใหม่ ที่ไว้ใจให้พนักงานทำงานที่บ้านซึ่งเราพบว่าในเมืองไทยยังมีงานลักษณะนี้น้อยอยู่ เวลาบอกคนอื่น เขายังคิดเลยว่าได้เงินจริง ๆ หรอ? อีกทั้งถ้าในอนาคตอยากจะเปิดบริษัทของตัวเอง ก็ถือว่าได้เรียนรู้ระบบงานด้วยตนเองมาแล้วในระดับนึง

5. ไม่ต้องพบปะผู้คน

สำหรับข้อนี้อาจจะถูกใจกับคนที่ไม่ค่อยชอบออกจากบ้านไปเจอคนเยอะ ๆ การผูกมิตรกับคนอื่นอาจเป็นเรื่องที่ยากสำหรับบางคน แต่อย่าลืมว่าการทำงานที่บ้านก็ต้องติดต่องานกับคนอื่นผ่านการโทรคุย การไลน์ หรือใช้โซเชียลอื่น ๆ บ่อยอยู่ดี แต่ก็ยังดีที่ไม่ต้องอยู่กับคนอื่นตลอดเวลา จริงมั้ย?

6. แทบไม่ทะเลาะกัน

ก็อย่างว่าเนอะไม่เจอหน้ากัน โอกาสที่จะผิดใจกันก็มีน้อยลง อย่างมากก็อาจจะแค่หัวเสียอยู่เงียบ ๆ กับตัวเอง แต่ใช่ว่าจะไม่เคยมีนะ ก็มีบ้างแหละ แต่น้อย

ข้อเสีย

1. ทำงานล่วงเวลา

แน่นอนว่าจากที่กล่าวไปข้างต้นว่าการทำงานด้วยเวลาที่ยืดหยุ่นเป็นข้อดี แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะต้องทำงานทุกวัน และต้องคุยงานกันแทบตลอดเวลา!! อีกทั้งมีงานเร่งด่วนบ่อย สั่งงานแล้วต้องการทันที บางทีเที่ยงคืนหัวหน้าก็ทักมาให้ทำงานให้ หรือพอใกล้เวลาเลิกงานก็จะมีงานใหม่มาและต้องการเดี๋ยวนั้นเพราะ “เราอยู่บ้าน” อย่าลืมว่าการที่เขาอยากให้เราทำงานที่บ้าน เนื่องจากเขาจะได้ปริมาณงานจากเราที่มากกว่าเดิม

2. ต้องทำงานตลอดเวลา และทำงานหลายหน้าที่

มนุษย์ทุกคนย่อมมองหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และเมื่อทำงานมาตั้งนานก็ต้องการวันพักผ่อนอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ก็ยังดี การทำงาน (ที่เหมือนอยู่บ้านแต่ทำงาน) ทุกวันยังไงก็ทำให้คนบ้างานล้าได้เหมือนกัน เช่นเดียวกันการทำงานไม่ตรงกับความสามารถ ต้องทำงานหลาย ๆ ตำแหน่งก็อาจทำให้คุณรู้สึกหมดไฟ และรู้สึกได้ไม่คุ้มเสีย ยังไงดีล่ะ ลองหาย ๆ ไปบ้างในวันอาทิตย์ หรือเลือกเช็กเมลให้เป็นเวลาก็พอช่วยได้ในระดับนึงนะ

3. การเจรจางานที่ยากกว่าเดิม

แน่นอนว่าการคุยกันโดยไม่เห็นหน้า ยังไงก็ต้องมีวันที่ไม่เข้าใจกัน เวลาที่งานไม่ได้ดั่งใจ อาจทำให้เราหัวเสีย และสบถกับตัวเอง ฮ่า ๆ ๆ

4. การเดินทางไม่แน่นอน

เวลาที่ไม่แน่นอนทำให้การเดินทางรวนไปด้วย ซึ่งแม้ว่าเราจะทำงานที่บ้าน แต่ก็ต้อง standby ตัวเองเอาไว้ตลอด 24 ชั่วโมง บางวันก็ต้องออกจากบ้านกระทันหันเพิ่งรู้ตอนเช้าของวันนั้น บางทีก็ทำงานเลิกดึก ๆ ดื่น ๆ บางอาทิตย์ก็ให้ทำงานอยู่ที่บ้านทุกวัน บางอาทิตย์ก็เข้าออฟฟิศเพียง 1-3 วัน บางครั้งก็นัดคุยงานนอกสถานที่ แล้วแต่วันจริง ๆ  

5. ไม่ก้าวหน้า ไม่มั่นคง

ในความคิดเรางานที่ยืดหยุ่นให้เราทำที่บ้านได้ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ดังนั้นต้องทำใจก่อนว่าบางที่มีความมั่นคงน้อยมาก จึงเหมาะกับการทำงานเก็บประสบการณ์เพียงไม่กี่ปี อย่าหวังมากในเรื่องความก้าวหน้า เพราะยังไงเราคงไม่ไปเป็นเจ้าของแทนหัวหน้าหรอกเนอะ นอกจากออกมาเปิดใหม่ของตัวเอง (เพราะทำแทบทุกหน้าที่) ก็เลยต้องใช้ใจและมีไฟในการทำงานอย่างมาก

นอกจากเรื่องความก้าวหน้าแล้ว เรื่องเงินและคุณภาพชีวิตก็เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราทุกคน แม้ว่าจะได้เงินรายเดือนแบบเงินเดือน แต่มันก็มีบางทีที่ทำงานก็มีปัญหาเรื่องเงินอยู่เหมือนกัน ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันอย่างเดียวเลย หรือแม้แต่เงินสำหรับการทำงานล่วงเวลาที่ไม่มีให้ (อ้าวก็ทำงานที่บ้านแล้วไง!) หรือยกตัวอย่างเรื่องคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานแรกให้คอมพ์ฯ ใช้ แต่อีกทีนึง ต้องใช้คอมพิวเตอร์ตัวเอง เนื่องจากงบน้อยกว่าที่แรก เป็นต้น

6. อาจมีปัญหาในเรื่องการเข้าสังคม

ไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่านะ แต่คิดว่าเพิ่มมาอีกสักข้อดีกว่า ตั้งแต่ทำงานที่บ้านก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เวลาที่จะออกไปพบปะกับเพื่อนฝูงก็แทบไม่มีเลย เนื่องจากการทำงานที่ไม่เป็นเวลา และทำงานตลอดเวลา ทำให้สังคมแคบลงเรื่อย ๆ เพื่อนที่เคยนัดไปเที่ยวกันทุกวันหยุดเริ่มหายไป คงเหลือไว้เพียงแต่การเล่น SNS ทักทายสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา วิธีแก้คือ หากิจกรรม หรือ workshop ต่าง ๆ ที่คิดว่าน่าจะใช้ในงานได้เข้าร่วมซะเลย จะได้เพื่อนใหม่ ๆ สังคมใหม่ ไม่ตื่นสังคมเนอะ

นี่เป็นเพียงความคิดเห็นเพียงส่วนนึงของเราเท่านั้นนะ คนอื่นที่ทำงานที่บ้านเหมือนกันก็อาจจะเจอประสบการณ์ที่ต่างกันออกไป ก็ต้องลองชั่งใจดูแล้วแหละ ว่างานที่บ้านมันเหมาะกับเราหรือเปล่า ถ้าเรามีลูกอยากอยู่ดูแลลูก การทำงานที่บ้านก็คงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ หรือถ้าโหยหาความตรงต่อเวลา ชนิดที่ว่าทุกอย่างต้องเป๊ะ จะได้มีเวลาไปเรียนเพิ่ม หรือทำงานเสริมไปด้วย การทำงานประจำแบบที่ต้องตอกบัตร (หรือสแกนนิ้ว) จะดีกว่าไหม? ยังไงก็ลองตัดสินใจกันดูเนอะ ว่าการทำงานแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *