กินกันป่วย! 13 อาหารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง หลายคนอาจจะเป็นหวัดหรือรู้สึกไม่สบายได้ ที่จริงแล้ว คุณสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ด้วยการรับประทานอาหารต่าง ๆ เพื่อไม่ให้คุณป่วยง่าย

อาการไข้หวัดที่พบส่วนใหญ่นอกจากคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม และระคายเคืองที่ดวงตาแล้ว ผู้ป่วยอาจมีไข้ เจ็บคอ และปวดเมื่อยตามร่างกายด้วย อาการเริ่มต้นเป็นไข้หวัดมักใช้เวลา 2-3 วัน และในขณะเดียวกันไข้หวัดมักจะหายได้เองใน 2-3 วันเช่นกัน

ในบทความนี้เรามีรายชื่ออาหารที่เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายมาฝากกัน ไปดูกันเลย 

=。:.゚٩(๑>◊<๑)۶:.。+゚

ผลไม้รสเปรี้ยว

คนส่วนใหญ่ทานอาหารเสริมวิตามินซีหลังจากที่ป่วย วิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตวิตามินซีได้เอง คุณจึงควรทานวิตามินซีทุกวัน เราสามารถเพิ่มวิตามินซีได้จากในผลไม้รสเปรี้ยวเนื่องจากมีวิตามินซีอยู่มาก เช่น ส้ม ส้มโอ เลมอนเหลือง และมะนาว

กีวี

กีวีอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย เช่น กรดโฟลิก โพแทสเซียม วิตามินเค และวิตามินซี ซึ่งวิตามินซีช่วยส่งเสริมเซลล์เม็ดเลือดขาวและต่อสู้กับการติดเชื้อ ในขณะที่สารอาหารอื่น ๆ ก็มีส่วนช่วยให้ระบบอื่นในร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น

มะละกอ

ในมะละกอมีวิตามินซีจำนวนมาก ซึ่งมีวิตามินซีมากถึง 224% ของความต้องการวิตามินซีที่แนะนำในแต่ละวัน มะละกอมีปาเปน (papain) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ อีกทั้งยังมีโพแทสเซียม วิตามินบี และกรดโฟลิกเพียงพอที่จะช่วยให้สุขภาพโดยรวมของคุณดีขึ้น

ชาเขียว

ชาเขียวมีฟลาโวนอยด์จำนวนมาก อีกทั้งในชาเขียวยังมี อีพิกัลโลคาเทชิน แกลเลต (Epicatechin gallate) จำนวนมาก ซึ่งสามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ชาเขียวยังมีสารธีอะนีนเพียงพอ ซึ่งอาจช่วยให้ที-เซลล์*ผลิตสารต้านแบคทีเรียได้

*ที-เซลล์ (T-cell) เป็นเซลล์ภูมิต้านทานชนิดหนึ่ง

ชีส

แบคทีเรียในชีสกรีกอาจช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยต่อสู้กับโรคต่าง ๆ แนะนำว่าให้ลองซื้อชีสดั้งเดิมแทนชีสที่มีน้ำตาลมาก นอกจากนี้ชีสยังมีวิตามินดีที่เพียงพอ ซึ่งช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับโรคต่าง ๆ

ผักโขม

ผักโขมมีสารต้านอนุมูลอิสระและเบต้าแคโรทีนจำนวนมาก ซึ่งอาจเพิ่มความสามารถในการต้านทานโรคของระบบภูมิคุ้มกัน ในขณะเดียวกันก็ยังมีวิตามินซีอยู่มาก แต่ก็อย่าลืมใส่ใจในวิธีปรุงอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียสารอาหารที่มากเกินไป

พริกแดง

คุณอาจคิดว่าผลไม้รสเปรี้ยวมีวิตามินซีมากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ แต่ถ้าคำนวนเป็นออนซ์ พริกแดงจะมีวิตามินซีมากกว่าผลไม้รสเปรี้ยวถึง 2 เท่า นอกจากนี้พริกแดงยังมีเบต้าแคโรทีนที่เพียงพอ ซึ่งนอกจากการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันแล้ว วิตามินซียังอาจช่วยรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรงอีกด้วย อีกทั้งเบต้าแคโรทีนสามารถช่วยปกป้องสุขภาพของดวงตาและผิวหนังได้

กระเทียม

กระเทียมอาจช่วยลดความดันโลหิตและชะลอการแข็งตัวของหลอดเลือดได้ สารประกอบที่อยู่ในกระเทียม เช่น อัลลิซิน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณได้

ขมิ้น

นอกจากขมิ้นจะเป็นส่วนผสมหลักในอาหารประเภทแกงแล้ว ขมิ้นยังใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมและข้ออักเสบรูมาตอยด์อีกด้วย จากการศึกษาพบว่าเคอร์คูมินที่มีความเข้มข้นสูงซึ่งพบได้ในขมิ้นสามารถช่วยลดความเสียหายของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกายได้

ขิง

หลายคนอาจดื่มชาขิงเมื่อเป็นหวัด ขิงอาจช่วยลดการอักเสบหรืออาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากการอักเสบได้  นอกจากนี้ขิงอาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ จากการทดลองในสัตว์ ขิงอาจช่วยลดอาการปวดเรื้อรังและอาจมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอล

บรอกโคลี

บรอกโคลีมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ซึ่งประกอบด้วยวิตามินเอ ซี และ อี ตลอดจนสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์ต่าง ๆ ดังนั้นคุณสามารถรับประทานบรอกโคลีในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อให้ได้สารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย

เมล็ดทานตะวัน

เมล็ดทานตะวันมีสารอาหารที่เพียงพอ ได้แก่ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินบี6 และวิตามินอี ซึ่งวิตามินอีมีความสำคัญมากในการควบคุมและรักษาการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่น ๆ ที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่  อะโวคาโด และผักใบเขียวเข้ม

ไก่

ซุปไก่อาจช่วยให้อาการหวัดดีขึ้นและช่วยป้องกันโรคหวัดได้ ในไก่และไก่งวง มีวิตามินบี 6 เป็นจำนวนมาก ไก่ประมาณ 3 ออนซ์ประกอบด้วยปริมาณของวิตามินบี6 40% – 50% ที่แนะนำต่อวัน วิตามินบี6 มีความสำคัญมากต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่และการมีสุขภาพดี

การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ถึงอย่างไรการรับประทานอาหารเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการต่อสู้กับไข้หวัดหรือการติดเชื้ออื่น ๆ ซึ่งหัวใจสำคัญของโภชนาการที่เหมาะสมคือการที่ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลาย อย่าลืมใส่ใจกับปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อไม่ให้คุณได้รับสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปหรือน้อยเกินไป รวมถึงอย่าลืมออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้คุณมีภูมิคุ้มกันในร่างกายที่แข็งแรงขึ้น 🙂

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *