5 หนังแนะนำที่กำกับโดย “ผู้กำกับหญิง”

ในขณะที่โลกเรียกร้องความเท่าเทียม หลาย ๆ วงการเริ่มเรียกร้องให้ผู้หญิงมีบทบาททัดเทียมผู้ชาย ในวงการโทรทัศน์และภาพยนตร์ก็เริ่มมีการยกย่องผู้กำกับผู้หญิงเช่นกัน ซึ่งความสามารถของผู้กำกับหญิงนั้นไม่แพ้ผู้กำกับผู้ชายเลย และในช่วงหลัง ๆ มานี้ผู้กำกับผู้หญิงเริ่มเป็นที่ถูกพูดถึงในวงการฮอลลีวูด และทั้ง 5 เรื่องที่ยกตัวอย่างมาในครั้งนี้เป็นผลงานกำกับโดยผู้กำกับหญิง มาดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรบ้าง 

1.Bird of Prey (Cathy Yan)

จากผลงานการกำกับโดย Cathy Yan ที่เน้นการเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของ Harley Quinn (รับบทโดย Margot Robbie) ตัวเอกของเรื่องหลังจากที่ได้เลิกรากับโจ๊กเกอร์ ทำให้เธอต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ชายอีกต่อไป และต้องคอยต่อสู้กับคนที่เคยมีคดีกันมาก่อนหน้านี้อย่าง Roman Sionis (รับบทโดย Ewan McGregor) หรือ Black Mask ว่าที่เจ้าพ่อแห่งเมืองก็อตแธมคนใหม่ที่คอยตามหาเพชรมรดกเลือด ทำให้เธอต้องไปชิงตัวเด็กสาวนักล้วงกระเป๋า Cassandra Cain (รับบทโดย Ella Jay Basco) ที่กำลังถูกจับที่สถานีตำรวจ นอกจากนี้ยังมีเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ อาธิเช่น Renee Montoya (รับบทโดย Rosie Perez), Black Canary (รับบทโดย Jurnee Smollett-Bell) และ Helena Bertinelli (รับบทโดย Mary Elizabeth Winstead)

โดยที่ในเรื่องนี้เน้นถึงประเด็น feminist เพื่อนหญิงพลังหญิงในการร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู รวมถึงยังสื่อถึงประเด็น #Metoo อย่างชาญฉลาดผ่านการเล่าเรื่องราวในฉากที่เหล่าตัวร้ายผู้ชายใส่หน้ากากเตรียมรุมทำร้ายเหล่าผู้หญิงในอุโมงค์ที่ถูกออกแบบให้มีสัญลักษณ์เหมือนช่องคลอด สื่อถึงการถูกคุกคามทางเพศได้อย่างแยบยลจริง ๆ  

นอกจากการที่ผู้กำกับเรื่องนี้เป็นผู้หญิงทำให้มีการนำเสนอรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในมุมมองของผู้หญิงที่ผู้ชายไม่มีวันเข้าใจ อย่างเช่น ฉากต่อสู้ที่ Harley Quinn ยื่นยางมัดผมให้ Black Canary รวบผมเพื่อให้ต่อสู้กับศัตรูได้ง่ายขึ้น ถือเป็นฉากที่หลาย ๆ คนยกย่องว่าผู้กำกับและนักแสดงสื่อถึงพลังของผู้หญิงออกมาได้ดีทีเดียว

2.The Farewell (Lulu Wang)

ผลงานการกำกับของ Lulu Wang ที่ได้ถ่ายทอดชีวิตจริงบางส่วนของตนเองในฐานะชาวจีนทีอพยพมาลงหลักปักฐานที่อเมริกา โดยเนื้อหาใน The Farewell ได้บอกเล่าถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออก ที่ถึงแม้จะอพยพไปลงหลักปักฐานตามที่ต่าง ๆ แต่ทุกคนก็ยังรักกัน 

สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมทางตะวันตกจากตัวเอกของเรื่องที่ไปอาศัยอยู่นิวยอร์กตั้งแต่เด็ก และวัฒนธรรมตะวันออกที่เน้นการมีชีวิตอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ผ่านคำลวงที่เคยเกิดขึ้นจริงของผู้กำกับอย่างการ “โกหกขาว” (White lies) หรือการโกหกบริสุทธิ์ ที่มีเจตนาดีทำให้ผู้อื่นสบายใจ โดยที่เรื่องนี้ได้บอกเล่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมผ่านการโกหกขาวตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่การโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ไปจนถึงการโกหกใหญ่ ๆ อย่างการจัดงานแต่งงานหลอก ๆ เพื่อให้ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับอาม่าในวันที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม้ว่าการปิดบังความจริงกับอาม่าจะขัดใจ Billi (รับบทโดย Awkwafina ที่หลาย ๆ คนคงจำเธอได้จากเรื่อง Crazy rich asian) หญิงสาวที่เติบโตมาในวิถีชีวิตแบบตะวันตกจึงไม่เห็นด้วยที่ครอบครัวไม่บอกความจริงให้อาม่าได้ทำในสิ่งที่อยากทำในครั้งสุดท้ายของชีวิต ขัดกับความเชื่อของคนจีนที่เน้นการใช้ชีวิตอยู่เพื่อครอบครัว การให้อาม่ารู้ความจริงอาจทำให้อาม่ากลัว ลูกหลานจึงจำเป็นที่จะต้องแบกรับความทุกข์แทนอาม่า เหมือนที่อาม่าเคยทำกับสามีตอนใกล้เสียชีวิตนั่นเอง

นอกจากนี้เรายังได้เห็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่คนเชื้อสายจีนอาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีทั้งการไปไหว้หลุมฝังศพของผู้ล่วงลับ การจัดงานแต่งงานสไตล์เอเชีย งานต้องใหญ่แขกต้องเยอะ การกินเลี้ยงโต๊ะจีน การพูดคุยสารทุกข์สุขดิบบนโต๊ะอาหาร การร้องคาราโอเกะ การถูกถามเรื่องส่วนตัว การถูกจับคู่จากญาติผู้ใหญ่ การแอบให้ซองอั่งเปากับหลานคนโปรด ฯลฯ วัฒนธรรมเหล่านี้ที่ชาวเอเชียอย่างพวกเราคงจะคุ้นเคยกันดี แต่หนังสัญชาติอเมริกันเชื้อสายจีนเรื่องนี้ก็คงทำให้ชาวตะวันตกเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้ไม่ยาก ด้วยเนื้อเรื่องที่เรียบง่าย และสมจริงตามแบบวิถีชีวิตของชาวตะวันออกผ่านหนังเรื่องนี้ ดูแล้วเราอาจจะนึกถึงตัวเองและคนรอบตัว ว่าชีวิตฉันก็คล้าย ๆ เรื่องนี้ ทุกคนต้องเคยผ่านการสูญเสีย ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ทั้งชีวิตคน และสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เป็นอีกหนังน้ำดีที่แนะนำให้ดูกันค่ะ

3.The Intervention (Clea Duvall)

ผลงานภาพยนตร์ที่กำกับโดย Clea Duvall นักแสดงมากฝีมือที่หลาย ๆ คนอาจเคยเห็นผ่านหน้าจอกันมาแล้วจากหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งในเรื่องนี้ Clea ก็ทั้งเขียนบทภาพยนตร์ กำกับ และร่วมแสดงเองด้วย โดยชวนเพื่อน ๆ นักแสดงที่สนิทสนมกันมาร่วมงานด้วย ทั้ง Natasha Lyonne ที่เคยเล่นหนังด้วยกันมาตั้งแต่เรื่อง But I’m a Cheerleader ก็กลับมาเล่นเป็นคู่เลสเบียนกับ Clea Duvall อีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีเพื่อนนักแสดงคนอื่น ๆ ที่สนิทกันมาก่อนอยู่แล้วอย่าง Melanie Lynskey, Vincent Piazza, Jason Ritter, Ben Schwartz, Alia Shawkat และ Cobie Smulders ทำให้การร่วมงานกันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแถมยังรู้สึกเหมือนได้มากินนอนในกองถ่ายร่วมกับเพื่อน ๆ อีกด้วย โดย The Intervention เป็นหนังสบาย ๆ ไม่ใช่หนังเครียดอะไรดูได้เรื่อย ๆ ดู ๆ ไปก็อาจจะตกหลุมรักตัวละครในเรื่องได้ 

ส่วนเรื่องราวของหนังเรื่องนี้เล่าถึงเพื่อนทั้ง 4 คู่ที่นัดกันมาพักผ่อนที่บ้านตากอากาศในซาวาน่า (Savannah) ซึ่งจุดประสงค์หลัก ๆ ของการนัดเจอกันก็คือต้องการแทรกแซงความรักของเพื่อนคู่หนึ่งที่แต่งงานมีลูกแล้วแต่มักทะเลาะกันทุกที อยู่ด้วยกันอย่างไรก็ไม่ลงตัว ปัญหาเดียวที่เพื่อนคู่อื่นต้องการจะบอกก็คือ “หย่า” กันซะ แต่การแทรกแซงปัญหาของคนอื่นกลับทำให้เรื่องราวของคู่ตัวเองวุ่นวายมากกว่าเดิม เพราะในขณะเดียวกันทุกคู่ก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้น แล้วก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับปัญหาของตัวเองด้วย ทั้งคู่รักที่ฝ่ายหญิงเลื่อนการแต่งงานมาแล้วสามครั้ง คู่รักข้าวใหม่ปลามันที่ฝ่ายหญิงยังอายุน้อยอยู่ และคู่รักเลสเบี้ยนที่คบหากันมาสามปีแต่ก็ยังไม่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยกัน เมื่อคนอื่นมาแทรกกลางระหว่างปัญหาของคู่อื่นทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงกว่าเดิม วิธีที่ดีที่สุดคือปัญหาของใครก็ให้คนนั้นจัดการเอง คนที่มีปัญหาก็ควรหันหน้ามาคุยกัน จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ใจที่ต้องตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่อึมครึมแบบนี้

นอกจากนี้ปลายปีนี้ ปี 2020 Clea ยังเตรียมเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Happiest Season เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ Clea กำกับและร่วมเขียนบท เป็นภาพยนตร์ LGBT โรแมนติกคอมเมดี้ ที่มีพล็อตเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาววางแผนขอแต่งงานในงานปาร์ตี้บ้านแฟน แต่หารู้ไม่ว่าแฟนยังไม่ได้บอกครอบครัว แถมครอบครัวของแฟนยังหัวอนุรักษ์นิยมอีกด้วย

4.Little Women (Greta Gerwig)

Greta Gerwig จากนักแสดงสาวมากความสามารถ สู่การกำกับและเขียนบทภาพยนตร์ Lady Bird และล่าสุดเธอก็ได้แสดงฝีมือการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Little Women (2019) หรือ สี่ดรุณี หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกันมาก่อนหน้านี้แล้วจากการอ่านหนังสือหรือการดูหนังในเวอร์ชันเก่า ๆ มาก่อนหน้านี้ อาจจะต้องวางหนังสือลงแล้วหันมาดูภาพยนตร์เวอร์ชันล่าสุดที่มีการปรับเนื้อเรื่องให้มีความเป็นปัจจุบันมากขึ้น แต่ก็ยังคงความเป็นนิยายเอาไว้ไม่ทำให้แฟนนิยายผิดหวัง

ซึ่ง Greta Gerwig ก็ได้ถ่ายทอดความคลาสสิคของนิยายยุคก่อนที่นางเอกต้องจบด้วยการแต่งงาน มาผสมผสานกับความเป็น feminist ในยุคปัจจุบันที่ยกย่องให้ผู้หญิงทัดเทียมผู้ชายได้อย่างลงตัว โดยในเวอร์ชัน 2019 ได้ Saoirse Ronan มารับบท Jo พี่สาวคนโตที่อยากจะเป็นนักเขียน ส่วนพี่สาวคนที่สอง Meg ฝันอยากเป็นนักแสดง รับบทโดย Emma Watson ที่หลาย ๆ คนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่พอตเตอร์ น้องสาวคนที่สาม Amy ฝันอยากเป็นจิตรกร รับบทโดย Florence Pugh ส่วนน้องสาวคนเล็ก Beth รับบทโดย Eliza Scanlen

โดยในเวอร์ชันนี้เน้นเล่าเรื่องด้วยการตัดเล่าเรื่องราวระหว่างอดีตกับปัจจุบันระหว่างความฝันของทั้ง 4 ดรุณี ที่ขัดกับแนวความคิดชายเป็นใหญ่ในสมัยก่อน ด้วยกรอบสังคมที่วัดความสำเร็จของผู้หญิงจากการแต่งงาน ทั้งที่จริงแล้วผู้หญิงก็มีความสามารถมากมาย และสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย แต่ด้วยกรอบของสังคมที่ตีกรอบคุณค่าของผู้หญิงในทุกยุคทุกสมัย ลองดูเรื่องนี้แล้วลุ้นกันว่าตอนจบของหนังสี่ดรุณี 2019 จะลงเอยที่การแต่งงานหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำให้ดูกัน

5.Hustler (Lorene Scafaria)

จากเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงในบทความ The Hustlers at Score ของ Jessica Pressler จาก New York Magazine มาถ่ายทอดในแบบฉบับภาพยนตร์จากการกำกับของ Lorene Scafaria โดยบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มสาวนักเต้นระบำเปลื้องผ้าที่กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นตกต่ำ ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นนักธุรกิจไม่มีเงินเปย์พวกเธอมากเท่าเมื่อก่อน พวกเธอจึงวางแผนตุ้มตุ๋นหลอกเอาเงินลูกค้า เพื่อเอาตัวรอดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ 

ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจนี้เคยเกิดขึ้นจริงในอเมริกาเมื่อปี 2008 ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนรวยก็รวยเอา ส่วนคนจนก็ยังคงจนเหมือนเดิม ต้องหาทางเอาตัวรอดเอาเอง นอกจากนี้หนังยังได้เล่าถึงอาชีพของนักเต้นระบำเปลื้องผ้าที่มักไม่ได้รับการปฎิบัติที่ดีเท่าที่ควร นอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้คนต้องหาทางเอาตัวรอดแล้ว ในมุมมองของผู้ชายสายเปย์ หรือคนรวยที่ได้ดูเรื่องนี้ก็อาจจะฉุกคิดถึงการใช้เงินเพื่อหาความสุขให้ตัวเองและอาจจะเคยโดนหลอกต้มตุ๋นเงินแบบนี้ ซึ่งก็คงต้องลองดูแล้ววิเคราะห์กันดูว่าวิธีเอาตัวรอดของสาวนักเต้นระบำถูกต้องหรือไม่ บางทีคนที่ได้ดูเรื่องนี้ก็อาจจะเอาใจช่วยกลุ่มนักเต้นระบำเปลื้องผ้าเป็นระยะก็ได้

โดยเรื่องนี้ได้ Jennifer Lopez มาโชว์ลีลาการเต้นโพลแดนซ์แบบมืออาชีพ นอกจากนี้ผู้กำกับยังได้ Cardi B และ Lizzo มาร่วมงานกันในเรื่องนี้อีกด้วย และตัวละครหลักที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Constance Wu นักแสดงนำจาก Crazy Rich Asians มาร่วมงานกันในครั้งนี้เช่นกัน

จะเห็นได้ว่าผู้กำกับผู้หญิงก็มีฝีมือไม่แพ้ผู้กำกับผู้ชายเลย บางอย่างที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนหรือเป็นจุดสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้กำกับผู้หญิงก็สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม หนังส่วนใหญ่แม้ว่าจะพูดถึงความเท่าเทียมกันหรือมีการยกย่องเพศหญิง แต่ก็ไม่ได้ลดคุณค่าหรือดูถูกผู้ชายแต่อย่างใด เพียงแต่นำเสนอความเข้าใจผู้หญิงจากมุมมองของผู้หญิงด้วยกันผ่านการทำหนัง ทำให้หนังที่ถ่ายทอดออกมาจากผู้กำกับหญิงยอดเยี่ยมและได้มุมมองที่แตกต่างออกไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *