เรื่องลับฉบับช็อกโกแลต แบบไหนกันแน่ที่คุณชอบ?

ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนพันธ์ุแท้ที่ชื่นชอบช็อกโกแลต หรือเป็นเพียงแค่คนที่ชอบทานช็อกโกแลตเป็นครั้งคราว คุณอาจจะพอทราบหรือรู้จักกับช็อกโกแลตชนิดต่าง ๆ ที่มีวางขายอยู่ในปัจจุบันมาบ้างแล้ว แต่สิ่งที่คุณและหลาย ๆ คนอาจไม่รู้ก็คือช็อกโกแลตแต่ละชนิดมีประโยชน์และโทษที่ต่างกันออกไป ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับช็อกโกแลตที่คุณไม่ควรพลาด เพราะนอกจากที่คุณจะได้รับความเอร็ดอร่อยจากรสชาติของช็อกโกแลตแล้ว คุณยังสามารถเลือกช็อกโกแลตได้ตรงตามประโยชน์ที่คุณต้องการ

โดยช็อกโกแลตที่พวกเราเห็นกันตามท้องตลาดมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ มิลค์ช็อกโกแลต, ไวท์ช็อกโกแลต,  และสุดท้ายดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งขั้นตอนการทำช็อกโกแลตทั้งสามนี้ก็แตกต่างกันออกไป และต่อไปนี้ก็คือข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับช็อกโกแลตพร้อมประโยชน์และโทษของช็อกโกแลตแต่ละชนิด

ไวท์ช็อกโกแลต (WHITE CHOCOLATE) 

ไวท์ช็อกโกแลตที่มักจะโดนดูถูกจากผู้ที่ชื่นชอบช็อกโกแลตว่ามันไม่ใช่ช็อกโกแลต!! ซึ่งเหล่าแฟนคลับของไวท์ช็อกโกแลตก็อาจจะผิดหวังที่ได้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง เพียงเพราะว่าแท้จริงแล้วไวท์ช็อกโกแลตไม่ได้มีส่วนประกอบของเนื้อโกโก้ (Cocoa Solids) เลยแม้แต่นิดเดียว แต่จะประกอบด้วยไขโกโก้ (Cocoa Butter) เล็กน้อยผสมกับน้ำตาลและนมแทน จึงทำให้ไวท์ช็อกโกแลตมีรสชาติหวานและนุ่มเหมือนครีมมากเป็นพิเศษ ถือเป็นช็อกโกแลตที่หอมหวานที่สุดในบรรดาช็อกโกแลตทั้งสามชนิด

ประโยชน์ของไวท์ช็อกโกแลต: 

ไวท์ช็อกโกแลตเหมาะแก่การรับประทานเป็นของว่างพอ ๆ กับการนำไปตกแต่งเพิ่มเติมในขนมหวานอื่น ๆ (แต่ควรใส่เพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีรสหวานมาก) อีกทั้งยังสามารถใช้ในการปรับสมดุลรสชาติที่ขมของดาร์กช็อกโกแลตได้อีกด้วย และเนื่องจากส่วนผสมหลักในไวท์ช็อกโกแลตคือ นม จึงทำให้มีแคลเซียมซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายของเรา นอกจากนี้ไวท์ช็อกโกแลตที่ปราศจากคาเฟอีน จึงไม่ทำให้ร่างกายของเราเกิดภาวะขาดน้ำ

โทษของไวท์ช็อกโกแลต:

ไวท์ช็อกโกแลตแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประโยชน์ต่อสุขภาพเลย เพราะทำด้วยน้ำตาลจำนวนมาก จึงทำให้ผู้ที่ทานมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน และเนื่องจากมีรสชาติที่หวานมาก จึงมีแคลอรีที่สูงตามมาด้วย และแคลอรีที่มีมากเป็นพิเศษนี้ก็เป็นอันตรายต่อร่างกายของคนเรา อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, และปัญหาอื่น ๆ ตามมา วิธีการเผาผลาญแคลอรีเหล่านั้นออกไป คุณจะต้องยกน้ำหนักเป็นเวลาสองถึงสามวันหรือออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งทำให้ร่างกายของคุณเหนื่อยล้าได้ แต่แทนที่จะทำแบบนั้น คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการหลีกเลี่ยงการทานไวท์ช็อกโกแลตหรือควบคุมปริมาณการทานให้เหมาะสม

มิลค์ช็อกโกแลต (MILK CHOCOLATE) 

มิลค์ช็อกโกแลต หมายถึง ช็อกโกแลตที่มีการเพิ่มนมเข้าไป โดยปกติแล้วนมที่ถูกเพิ่มเข้าไปส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของนมผง, ของเหลว, หรือจะเป็นนมข้นก็ได้ มิลค์ช็อกโกแลตถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 1875 โดยนักทำขนมหวานชาวสวิสที่ชื่อ Daniel Peter โดยส่วนผสมในมิลค์ช็อกโกแลตมักจะมีโกโก้อย่างน้อย 20 – 25% และนมอีก 12% ขึ้นอยู่กับแต่ละเมืองหรือแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ ช็อกโกแลตชนิดนี้มีความนุ่มเหมือนกับครีมมากกว่าช็อกโกแลตชนิดอื่นและมีเนื้อสัมผัสที่นิ่มกว่า นอกจากนี้เนื่องจากมีการเพิ่มนมเข้าไป จึงทำให้มิลค์ช็อกโกแลตละลายได้ง่ายมากยิ่งขึ้นและยังมีรสชาติที่หวานขึ้นด้วย

ประโยชน์ของมิลค์ช็อกโกแลต

ด้วยความหวานและนุ่มเหมือนกับครีมทำให้มิลค์ช็อกโกแลตได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ชื่นชอบช็อกโกแลตทุกวัย เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ จึงทำให้มิลค์ช็อกโกแลตเหมาะแก่การนำมาทำอบขนมหรือทำขนมหวาน ส่วนในด้านสุขภาพมิลค์ช็อกโกแลตเองก็มีประโยชน์อย่างน่าตกใจเลยทีเดียว เนื่องจากช่วยรักษาความดันโลหิตให้มีความสมดุล นอกจากนี้ยังมีผลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยอะเบอร์ดีนในสกอตแลนด์ที่เปิดเผยว่า คนที่ทานมิลค์ช็อกโกแลตมานานกว่า 11.3 ปี มีความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองที่ลดลงอีกด้วย

โทษของมิลค์ช็อกโกแลต

มิลค์ช็อกโกแลตมีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับไวท์ช็อกโกแลต อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในข้างต้นว่าสัดส่วนของส่วนผสมในมิลค์ช็อกโกแลตจะต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น อย่างที่สหรัฐฯ ก็มีการกำหนดให้ผู้ผลิตใส่โกโก้ลิเคอร์ (cocoa liquor) บริสุทธิ์ลงในผลิตภัณฑ์มิลค์ช็อกโกแลตแค่ 10% เท่านั้น ส่วนอีก 90% ก็ปล่อยให้คุณจิตนาการต่อกันเองว่าคือสารอะไร ซึ่งเพียงแค่ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า รสชาติที่หวานนี้มาจากนมผง, นมข้น, หรือนมที่มาในรูปแบบของเหลวเป็นส่วนใหญ่ และยังมีไขโกโก้ (Cocoa Butter) ที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated Oils) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคเบาหวาน หรือแม้แต่โรคมะเร็งได้

ดาร์กช็อกโกแลต (DARK CHOCOLATE) 

ดาร์กช็อกโกแลตหรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Plain Chocolate ถูกผลิตขึ้นโดยการใช้โกโก้ในสัดส่วนที่สูงกว่าช็อกโกแลตประเภทอื่น และยังมีไขมันที่มาจากไขโกโก้ (Cocoa Butter) แทนที่จะมาจากนม ปริมาณของโกโก้หรือเนื้อโกโก้ (Cocoa Solids) ที่นำมาใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 45% ไปจนถึง 100% ซึ่งจะถูกระบุไว้ที่ฉลากหรือซองบรรจุช็อกโกแลต ดาร์กช็อกโกแลตมีคุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างมาก เพราะมีเส้นใยที่ละลายน้ำได้และแร่ธาตุที่มาจากโกโก้ในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ดาร์กช็อกโกแลตยังมีน้ำตาลน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับช็อกโกแลตอีกสองประเภท ดังนั้นจึงมีปริมาณแคลอรีที่น้อยกว่า ทำให้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดาร์กช็อกโกแลตเลยกลายเป็นตัวเลือกยอดฮิตที่ผู้ใหญ่มักเลือกทานเพื่อช่วยปรับอารมณ์มากกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีแคลอรีน้อยด้วยนั่นเอง

ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต:

นอกจากใช้ทานเพื่อเป็นของหวานหรือใช้อบขนมแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถเอาชนะช็อกโกแลตประเภทอื่นไปได้อย่างขาดลอย เนื่องจากดาร์กช็อกโกแลตทำมาจากเมล็ดโกโก้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ผู้บริโภคสามารถเพลิดเพลินไปกับการทานพร้อมกับคาดหวังถึงประโยชน์ต่อสุขภาพได้ ซึ่งประโยชน์ที่จะได้รับมีดังนี้

  • ดาร์กช็อกโกแลตมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและยังอุดมไปด้วยคุณสมบัติของโกโก้ ที่มีเส้นใยละลายน้ำและมีแร่ธาตุกระจายอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เราสามารถพบช็อกโกแลตที่มีคุณภาพได้ตามท้องตลาด ซึ่งเต็มไปด้วยไฟเบอร์, เหล็ก, แมงกานีส, ทองแดง, แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, และสังกะสี
  • เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น โพลีฟีนอล (Pholyphenols), ฟลาโวนอล (Flavonols), และ แคทีชิน (Catechins) โดยสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะช่วยฟื้นคืนเซลล์ที่ถูกทำลายและริ้วรอยต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปถึงลดอาการอักเสบด้วย
  • ดาร์กช็อกโกแลตช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและลดความดันโลหิต ฟลาโวนอล (Flavonols) ที่อยู่ในดาร์กช็อกโกแลตสามารถกระตุ้นเยื่อบุของหลอดเลือดแดงให้ผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide; NO) ซึ่งช่วยให้หลอดเลือดแดงคลายตัวและลดความดันโลหิต นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันดีว่าช่วยในเรื่องของสุขภาพหัวใจด้วย
  • ดาร์กช็อกโกแลตช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) และป้องกันหรือลดไขมันไม่ดี (LDL)
  • ดาร์กช็อกโกแลตช่วยปรับปรุงการทำงานของสมอง ช่วยกระตุ้นพลังสมอง
  • ดาร์กช็อกโกแลตช่วยป้องกันโรคหอบหืด
  • ดาร์กช็อกโกแลตมีสารธรรมชาติ 3 ชนิดก็คือ คาเฟอีน, ทีโอโบรมีน (Theobromine), และทีโอฟิลลีน (Theophylline) ซึ่งสารทั้งสามทำงานร่วมกันเพื่อหยุดอาการบีบเกร็งของหลอดลม และคลายการบีบอัดของทางเดินหลอดลม
  • ฟลาโวนอล (Flavonols) ในดาร์กช็อกโกแลตสามารถช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) ของคุณ ทำให้คุณรู้สึกอิ่มและหิวน้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงตามมา

โทษของดาร์กช็อกโกแลต:

นอกเหนือจากข้อดีแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตเองก็มีข้อเสียเช่นกัน ดาร์กช็อกโกแลตที่มีคาเฟอีนในปริมาณมากเท่ากับกาแฟดำขนาดขวด 8 ออนซ์ และอย่างที่เราทราบกันดีว่า คาเฟอีนเป็นสาเหตุของภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ซึ่งมีผลต่อระบบย่อยอาหารของเรา นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไตได้ด้วย เพราะดาร์กช็อกโกแลตมีออกซาเลต (Oxalates) ที่เป็นสารมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุหลายชนิดในกระแสเลือด และจะถูกขับออกมาในปัสสาวะ จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดก้อนนิ่วในไตได้ และข้อเสียสุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุดก็คือ ดาร์กช็อกโกแลตเป็นหนึ่งในอาหารที่กระตุ้นอาการปวดไมเกรน

สุดท้ายนี้การดื่มด่ำกับการชอบทานช็อกโกแลตไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพเสมอไป เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือของหวานก็มีทั้งประโยชน์และโทษด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการรู้จักกับข้อมูลเหล่านี้จะสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรเลือกบริโภคได้มากแค่ไหนและจะบริโภคอะไรดี อย่างการเลือกชนิดของช็อกโกแลตเพื่อทานเป็นของว่างและเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละวัน เพียงเท่านี้คุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับรสชาติและมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ โดยไม่ต้องทนทุกข์จากผลกระทบที่ตามมาของการทานช็อกโกแลตมากเกินไป

Source: 
advantages and disadvantages of chocolate, fpbnyc  
different type chocolates benefits, beautyharmonylife

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *